เผด็จการรัฐสภา?
คำว่า
“เผด็จการรัฐสภา” ในเมืองไทย
มีความสำคัญมาก และเป็นหนึ่งในคีย์เวิร์ดของการชุมนุมทางการเมือง
คำ ๆ นี้มีที่มาจากไหน เป็นจริงหรือไม่ และส่งผลกระทบอย่างไรต่อประชาธิปไตยของไทย
น่าจะนำมาวิเคราห์ด้วยกัน
1.
ที่มา
โดยคำนี้มุ่งหมายวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของรัฐบาลของคุณทักษิณ
ชินวัตร และรัฐบาลอื่น ๆ ที่เป็นนอมินี หรือได้รับอิทธิพลของคุณทักษิณ
ที่เรียกกันว่า “ระบอบทักษิณ”
พวกเขาใช้คำว่า
"เผด็จการรัฐสภา" ไปอธิบายรัฐบาลที่นำโดยคุณทักษิณ และรัฐบาลต่อ ๆ มาที่ชนะการเลือกตั้ง เพื่ออธิบายข้อเสียของระบอบทักษิณ คำว่าเผด็จการรัฐสภา จึงถูกใช้สลับสับเปลี่ยนกับคำว่า ระบอบทักษิณได้เต็มที่ ภายใต้การอธิบายนี้ เขาพูดถึงการทำงานในแบบพวกพ้องเครือญาติ (สภาผัวเมีย)
ใช้อำนาจอย่างเผด็จการในการครอบงำอำนาจทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายนิติบัญญัติ
จนฝ่ายค้าน ประชาชน และองค์กรตามรัฐธรรมนูญไม่สามารถตรวจสอบการทำงานของคณะรัฐมนตรีได้
โดยทางทฤษฎีแล้ว
คำว่า “เผด็จการรัฐสภา” ไม่ได้เป็นของใหม่ในทางรัฐศาสตร์
แต่เกิดขึ้นมานานแล้วในหลายประเทศที่ใช้ระบบรัฐสภา
เมื่อเกิดสถานการณ์ทางการเมืองที่รัฐบาลสามารถควบคุมฝ่ายนิติบัญญัติได้อย่างเต็มที่
เพราะมีฝ่ายบริหารที่เข้มแข็ง มีวินัยพรรคที่รัดกุม
สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแตกแถวแทบไม่ได้ (ผู้ที่ต้องการความรู้เพิ่มเติมอาจสืบค้นด้วยคำว่า
elective dictatorship หรือ executive dominance)
ในทางทฤษฎีนั้น
หากจะพิจารณาว่า ระบอบการเมืองใดเป็นเผด็จการรัฐสภาหรือไม่นั้น
อาจจะขึ้นอยู่กับการวิเคราะห์ตีความ ส่วนในทางหลักการแล้ว
สิ่งที่เราน่าจะกำหนดตัวชี้วัดของความเป็นเผด็จการรัฐสภาน่าจะประกอบไปด้วย
1.
รัฐบาลมีเสียงข้างมากแบบสมบูรณ์
2. กระบวนการนิติบัญญัติอยู่ในมือรัฐบาล เช่น กฎหมายส่วนใหญ่ริเริ่มโดยรัฐบาล
3. ฝ่ายค้านไม่อาจทำอะไรรัฐบาลได้
4. องค์กรตามรัฐธรมนูญไม่อาจทำอะไรรัฐบาลได้ องค์กรตามรัฐธรรมนูญเช่นศาลรัฐธรรมนูญ ตีความทางการเมืองเข้าข้างรัฐบาล
5. สื่อและประชาชนต่อต้านรัฐบาลแต่ไม่อาจทำอะไรรัฐบาลได้ หรือสื่อเป็นพวกเดียวกับรัฐบาล
6. พรรคการเมืองทำตามมติพรรค ไม่ทำตามฉันทามติที่ได้จากประชาชน
2. กระบวนการนิติบัญญัติอยู่ในมือรัฐบาล เช่น กฎหมายส่วนใหญ่ริเริ่มโดยรัฐบาล
3. ฝ่ายค้านไม่อาจทำอะไรรัฐบาลได้
4. องค์กรตามรัฐธรมนูญไม่อาจทำอะไรรัฐบาลได้ องค์กรตามรัฐธรรมนูญเช่นศาลรัฐธรรมนูญ ตีความทางการเมืองเข้าข้างรัฐบาล
5. สื่อและประชาชนต่อต้านรัฐบาลแต่ไม่อาจทำอะไรรัฐบาลได้ หรือสื่อเป็นพวกเดียวกับรัฐบาล
6. พรรคการเมืองทำตามมติพรรค ไม่ทำตามฉันทามติที่ได้จากประชาชน
ปัญหาของการมี
“เผด็จการรัฐสภา” จึงทำให้เกิดปัญหาอย่างน้อยใน
3 ประเด็นคือ
1)
รัฐบาลมีอำนาจมากเกินไปจนไม่สามารถตรวจสอบได้ 2)
สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรต้องปฏิบัติตามวินัยพรรค
ทำให้ความเป็นตัวแทนของประชาชนต้องเป็นรองความเป็นตัวแทนพรรค 3)
กระบวนการนิติบัญญัติตกอยู่ในมือรัฐบาล
หรืออีกนัยหนึ่งคือพรรคการเมือง ซึ่งไม่ได้สะท้อนความหลากหลายของการเป็นตัวแทนของประชาชน
2. มีเผด็จการรัฐสภาในเมืองไทยจริงๆ หรือไม่
ถ้าตามทฤษฎีก็คงต้องบอกว่า
"เข้าขั้น" เพราะรัฐบาลภายหลังจากการประกาศใช้รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540
มีอำนาจมาก ๆ เลย สาเหตุมาจากอย่างน้อย 2 ประการ
1. รัฐธรรมนูญ 2540
รัฐธรรมนูญ
พ.ศ. 2540 เป็นรัฐธรรมนูญที่ส่งเสริมให้นายกรัฐมนตรีเข้มแข็งมากขึ้น
อันเนื่องมาจาก
1).
การบังคับให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรต้องสังกัดพรรคการเมือง
2). การกำหนดให้ผู้เป็นรัฐมนตรีต้องลาออกจากตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
2). การกำหนดให้ผู้เป็นรัฐมนตรีต้องลาออกจากตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
สองประการนี้ทำให้
สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่ไปเป็นรัฐมนตรีจึงต้องลาออกจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
เหลือเพียงตำแหน่งรัฐมนตรีตำแหน่งเดียว
ทำให้การปรับคณะรัฐมนตรีแต่ละครั้งทำให้อำนาจต่อรองของของนายกรัฐมนตรีมีความเข้มแข็งมากกว่าเดิมขึ้นเรื่อยๆ
ในขณะที่กลไกที่รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 กำหนดให้มาควบคุมรัฐบาลคือ
วุฒิสภาและองค์กรตามรัฐธรรมนูญก็ถูกมองว่าไม่สามารถควบคุมการทำงานของรัฐบาลได้
2. นโยบายของพรรคไทยรักไทย
การเปิดของกฎหมาย
(รัฐธรรมนูญ) บวกกับ "นโยบาย" ของพรรคไทยรักไทย
ที่ทำให้ได้คะแนนเสียงจากประชาชนอย่างล้นหลาม ทำให้พรรคไทยรักไทยซึ่งในสมัยสุดท้าย
ได้เป็นรัฐบาลพรรคเดียว มีอิทธิพล
3.
ผลกระทบ
ความกลัวในเผด็จการรัฐสภานั้น มีได้ แต่อย่ากลัวให้มากจนมาทำลายรัฐสภา
เพราะในที่สุดแล้ว ปี พ.ศ. 2549 และ พ.ศ. 2557 โลกได้เป็นประจักษ์พยานของเผด็จการรัฐสภาของไทย ที่ถูกทำลายลง พร้อม ๆ กับระบอบรัฐสภาด้วย เพราะไม่ว่าเผด็จการรัฐสภาจะทำลายตัวของมันเองด้วยความไม่ชอบธรรมของตัวเองจนถูกต่อต้านโดยภาคประชาชน
(อีกฝั่งหนึ่ง) หรือถูกทำลายลงจากรัฐประหาร ครั้งแรกในปี พ.ศ. 2549 แล้วก็ทำลายอีกครั้งในปี พ.ศ. 2557
แต่ด้วยธรรมชาติของระบอบประชาธิปไตย ซึ่งรัฐบาลจะอยู่ในตำแหน่งได้เป็น
"วาระ"
อย่างไรก็ตาม
ไม่ว่ารัฐบาลจะเข้มแข็งอย่างไร ถ้าอยู่ภายใต้ระบอบประชาธิปไตย
มันก็จะมีวาระของมันอยู่แล้ว ดังนั้น มันคุ้มหรือไม่ ที่จะนำข้ออ้างเรื่องเผด็จการรัฐสภามาทำลายประชาธิปไตยด้วยตัวของมันเอง
ความกลัวในพลังด้านลบของเผด็จการรัฐสภา ส่งผลอย่างมากต่อกรอบการเขียนรัฐธรรมนูญ พ.ศ.
2550 และ 2558-59 เป็นรัฐธรรมนูญที่มีโจทย์สำคัญคือ
ทำยังไงจะไม่ให้ฝ่ายบริหารมีอำนาจมากเกินไป โดยใน รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 ส่งผลให้มีการเพิ่มอำนาจขององค์กรอิสระ และศาลมากขึ้น ในขณะที่ รัฐธรรมนูญ 2558 (ฉบับที่ตกไป) นั้น ได้มีวัตถุประสงค์ที่จะตั้งรัฐบาล "ผสม" ที่มีเอกภาพ
นี่คือสิ่งที่สะท้อนถึงความกลัวในผลด้านมืดของเผด็จการรัฐสภา
นี่คือสิ่งที่สะท้อนถึงความกลัวในผลด้านมืดของเผด็จการรัฐสภา
ซึ่งมีบ้างก็ดี แต่อย่ามีมากเกินไป จนไม่ให้ระบอบประชาธิปไตยได้เบ่งบานในสังคม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น